วันพฤหัสบดีที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2558

ตอนที่ 2 ขออาหารเพิ่ม

     หลังจากที่ไปถึงสถานสงเคราะห์ฯ ได้ไม่นาน โอลิเวอร์ก็ได้รับแจ้งว่าคณะกรรมการจะประชุมกันในคืนวันนั้น และเขาจะต้องไปปรากฏตัวต่อหน้าคณะกรรมการด้วย นายบัมเบิ้ลเป็นผู้นำตัวเขาไปที่นั่น แต่โอลิเวอร์ก็ไม่มีเวลาจะนึกถึงเรื่องนี้ เพราะนายบัมเบิ้ลได้เขกหัวเขาให้ตื่นขึ้นแล้วก็พาตัวเขาเข้าไปในห้องใหญ่ ซึ่งมีสุภาพบุรุษอ้วน ๆ หลายคนกำลังนั่งอยู่รอบ ๆ โต๊ะตัวหนึ่ง

โอลิเวอร์ปรากฏตัวต่อหน้าคณะกรรมการ
     “แกชื่ออะไร ไอ้หนู?” สุภาพบุรุษที่นั่งอยู่ทางปลายโต๊ะด้านหนึ่งบนเก้าอี้ตัวใหญ่ ซึ่งสูงกว่าตัวอื่น ๆ เอ่ยถาม โอลิเวอร์หวาดกลัวจนตัวสั่น สุภาพบุรุษอีกคนหนึ่งจึงกล่าวขึ้นว่า “เขาเป็นเด็กทึ่ม”
     “ไอ้หนู” สุภาพบุรุษคนแรกพูด “ฟังฉันพูดนะ ฉันคิดว่าแกคงรู้ตัวดีแล้วว่าแกน่ะเป็นเด็กกำพร้า ใช่ไหม?”
     “ท่านหมายความว่าอย่างไรขอรับ?” โอลิเวอร์ผู้น่าสงสารถาม
     “เด็กคนนี้มันโง่จริง ๆ ผมนึกแล้วทีเดียวว่ามันต้องโง่”
     “เฉย ๆ น่า” สุภาพบุรุษที่พูดก่อนปราม “แกรู้ว่าแกไม่มีพ่อไม่มีแม่ ใช่ไหมล่ะ?”
     “ใช่ขอรับ” โอลิเวอร์ตอบพลางร้องไห้
     “ดีแล้ว แกมาที่นี่ก็เพื่อจะได้เรียนวิชาชีพ ดังนั้นแกจะต้องเริ่มต้นเรียนพรุ่งนี้เช้าตอนหกนาฬิกา”

โอลิเวอร์เริ่มต้นทำงาน
     โอลิเวอร์ต้องเริ่มทำงานในเช้าวันรุ่งขึ้นจริง ๆ มันเป็นงานที่หนักมาก เขาทำงานร่วมกับเด็กอนาถาอื่น ๆ อีกหลายคน เด็กเหล่านี้ต้องทำงานหนักวันละหลายชั่วโมง และอาหารที่ได้รับเกือบเป็นประจำก็คือข้าวต้มใส ๆ ซึ่งมีแต่น้ำมากกว่าเนื้อข้าวคนละไม่เกินหนึ่งกะละมัง
     เมื่อโอลิเวอร์ดำเนินชีวิตและงานแบบนี้มาได้หกเดือนก็มีเหตุการณ์อย่างหนึ่งเกิดขึ้นซึ่งทำให้ชีวิตของเขาต้องเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง และเป็นเหตุให้เขาต้องออกจากสถานสงเคราะห์ฯ แห่งนั้นไปจนชั่วชีวิต พวกเด็กเหล่านี้ต้องหิวโหยอยู่เสมอ ชามกะละมังที่ใส่ข้าวต้มไม่เคยต้องล้างกันเลย เพราะพวกเขาทำความสะอาดมันด้วยช้อนและนิ้วมือ จนกระทั่งมันเกลี้ยงเป็นเงา ตามปกติผู้คุมจะแจกข้าวต้มโดยตักจากหม้อใหญ่ใบหนึ่ง และพวกเด็ก ๆ ก็จะนั่งจ้องดูหม้อใบนี้ด้วยสายตาที่แสดงความหิวกระหายราวกับว่าพวกเขาสามารถจะเขมือบหม้อใบนี้ให้เรียบไปพร้อมกับข้าวต้มในหม้อด้วย พวกเราเกือบจะอดตายอยู่แล้ว เด็กคนหนึ่งถึงกับประกาศออกมาว่าถ้าหากเขาไม่ได้กินข้าวต้มมากกว่าหนึ่งชามเช่นนี้เรื่อย ๆ เขาก็หวังใจว่าสักคืนหนึ่งหรอกที่เขาอาจจะกินเพื่อนที่หลับนอนอยู่ข้าง ๆ เขาเสียก็ได้ สายตาของเขาแสดงความคุ้มคลั่ง และหิวกระหายจนทำให้เด็กคนอื่น ๆ เชื่อว่าเขาจะทำอย่างที่พูดได้จริงและเกิดความหวาดกลัวไปตาม ๆ กัน ดังนั้นเด็กเหล่านี้จึงตกลงใจว่าจะเลือกใครสักคนหนึ่งซึ่งจะต้องเข้าไปหาผู้ควบคุมเพื่อขออาหารเพิ่มขึ้น ผู้ที่ถูกเลือกให้ทำงานอันน่าหวาดกลัวครั้งนี้ก็คือ โอลิเวอร์ ทวิสท์!

“โปรดกรุณาเถิดครับ ผมอยากขอข้าวอีกหน่อย”
     ถึงตอนเย็นผู้ควบคุมก็แจกข้าวต้ม เมื่อข้าวหมดชามแล้วพวกเด็กก็กระซิบกระซาบกันแล้วผลักโอลิเวอร์ออกไปข้างหน้าเล็กน้อย โอลิเวอร์กลัวก็กลัวหิวก็หิว เขาลุกขึ้นจากโต๊ะและถือชามกับช้อนเดินเข้าไปหาผู้ควบคุมด้วยอาการตัวสั่นเทาในขณะที่พูดว่า “โปรดกรุณาเถิดครับ ผมขอข้าวอีกสักหน่อย”
     ผู้ควบคุมเป็นคนที่รูปร่างอ้วนและสุขภาพสมบูรณ์ แต่ตอนนี้หน้าของเขาถึงกับถอดสีไปเลยทีเดียว เขาแทบไม่เชื่อว่าเขาได้ยินคำพูดอย่างนั้นจริง ๆ
     “อะไรนะ” เขาพูดเสียงแผ่ว หลังจากเงียบไปชั่วครู่
     “กรุณาเถิดครับ ผมขอข้าวอีกสักหน่อย”
     ผู้ควบคุมตีหัวโอลิเวอร์ด้วยทัพพีและใช้แขนทั้งสองรัดตัวโอลิเวอร์ไว้ ปากก็ตะโกนเรียกหาหัวหน้าผู้ควบคุม
     คณะกรรมการกำลังนั่งปรึกษางานกันอย่างเคร่งเครียดอยู่ ในขณะที่นายบัมเบิ้ลวิ่งเข้าไปในห้อง เขาได้ร้องบอกสุภาพบุรุษที่นั่งเก้าอี้ตัวสูงด้วยความตื่นเต้นอย่างใหญ่หลวง “คุณลิมบ์กินส์ (Mr.Limbkins) ได้โปรดอภัยเถอะครับ โอลิเวอร์ ทวิสท์ขออาหารเพิ่มอีกแน่ะครับ” คณะกรรมการต่างก็ตกตะลึงไปตาม ๆ กัน ทุกคนมีสีหน้าแสดงความประหลาดใจอย่างยิ่ง
     “ขอเพิ่มอีก” ลิมบ์กินส์เอ่ยขึ้น “สงบเสียทีสิบัมเบิ้ล แล้วตอบคำถามผมให้แจ่มแจ้งหน่อย คุณจะให้ผมเข้าใจว่าเขาขออาหารเพิ่มอีก หลังจากที่เขาได้กินอาหารที่เราให้แก่เด็กแต่ละคนอย่างนั้นรึ?”
     “เขาทำอย่างนั้นจริง ๆ ครับ” บัมเบิ้ลตอบ
     “ไอ้เด็กอย่างนี้มันต้องแขวนคอเสีย” สุภาพบุรุษคนที่เคยว่าโอลิเวอร์เป็นเด็กทึ่มเอ่ยขึ้น แต่ไม่มีใครเห็นด้วยกับความเห็นนี้ คณะกรรมการจึงได้ปรึกษาหารือกันอย่างเคร่งเครียด แล้วก็ออกคำสั่งว่าโอลิเวอร์จะต้องถูกขังเดี่ยวอยู่ในห้อง เข้าวันรุ่งขึ้นประกาศแผ่นหนึ่งก็ถูกนำไปติดไว้ที่หน้าประตูรั้ว รางวัลเงินห้าปอนด์จะให้แก่บุคคลที่ยอมรับโอลิเวอร์ ทวิสท์ไปเป็นลูกมือฝึกงาน ไม่ว่าจะเป็นงานชนิดใดหรือว่าธุรกิจทางด้านไหนก็ตาม

4 ความคิดเห็น: