โอลิเวอร์พำนักอยู่ในบ้านของฟากิ้นได้สองสามวันและระหว่างนี้เองเขาก็ได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างเกี่ยวกับฟากิ้นและลูกศิษย์ของเขา ทุกเช้าเด็กเหล่านี้จะเล่นเกมอะไรอย่างหนึ่ง ซึ่งโอลิเวอร์รู้สึกว่าออกจะเป็นเกมที่แปลกประหลาดอยู่ ชายชราเอาสิ่งของนานาชนิดใส่ไว้เต็มกระเป๋า เป็นต้นว่า สมุดบันทึก ซองธนบัตร นาฬิกา ผ้าเช็ดหน้า พวกเด็กพยายามที่จะหยิบของเหล่านี้ออกมาขณะที่เขาแสร้งทำเป็นมองออกไปนอกหน้าต่าง
มันเป็นเกมที่สนุกดีเหมือนกันโอลิเวอร์คิด เขาหารู้ไม่ว่าความจริงนั้น เด็กเหล่านี้กำลังเรียนวิชาล้วงกระเป๋ากันอยู่ และนี่แหล่ะคือวิธีที่ฟากิ้นตั้งใจจะให้ตัวโอลิเวอร์เองนำไปใช้หาเงินมาให้นายของเขา ซึ่งก็คือตัวฟากิ้นนั่นเอง
โอลิเวอร์ จำต้องเริ่มทำงาน
ครั้นแล้วก็มาถึงวันที่ฟากิ้นพูดขึ้นว่า โอลิเวอร์ได้เฝ้าดู ‘เกม’ มานานพอที่จะออกไปทำงานร่วมกับเด็กอื่น ๆ ได้แล้ว โอลิเวอร์เองก็เบื่อหน่ายต่อการที่ถูกเก็บตัวอยู่ในบ้าน จึงรู้สึกยินดีมากที่จะได้ออกไปสูดอากาศภายนอกเสียที เขาได้รับคำสั่งให้ออกไปข้างนอกกับชาร์ลี เบ็ทส์ (Charlie Bates) และเจ้าจอมวายร้าย และให้ความรู้สึกสงสัยอยู่มากมากว่าเขาต้องออกไปทำงานชนิดไหนกันแน่ พวกเขาเดินไปเรื่อย ๆ ช้า ๆ ช้าเสียจนโอลิเวอร์ชักจะเชื่อว่าพรรคพวกของเขากำลังเล่นไม่ซื่อต่อชายชราด้วยการหลบเลี่ยงไม่ไปทำงาน เจ้าจอมวายร้ายยิ่งทำอะไรแปลก ๆ หนักขึ้นไปอีก เช่น ดึงหมวกจากศีรษะของเด็ก ๆ แล้วเหวี่ยงออกไปกลางถนน เป็นต้น ขณะที่เดินผ่านร้านที่มีผลไม้วางขายอยู่หน้าร้าน เด็กทั้งสองก็จะหยิบผลไม้ใส่กระเป๋าไปบ้าง โอลิเวอร์เห็นว่าพฤติกรรมแบบนี้เลวทรามมาก แล้วพอกำลังจะบอกว่าจะกลับไปหาฟากิ้น ก็พอดีเกิดเหตุการณ์ซึ่งทำให้เขาพิศวงและตกใจมาก ดาว์กินส์ และ เบ็ทส์หยุดเดินอย่างกระทันหันแล้วเจ้าจอมวายร้ายก็พูดกับสหายร่วมงานว่า “แกเห็นตาแก่ที่ยืนอยู่หน้าร้านขายหนังสือฝั่งโน้นไหม? คนที่กำลังอ่านหนังสืออยู่น่ะ”
“เออ” โอลิเวอร์ตอบ “ฉันเห็นแล้ว เขาเป็นยังไงรึ?”
“ไม่เป็นยังไงหรอก” ชาร์ลี เบ็ทส์ พูด “แต่ตานี่แหล่ะเหมาะ สำหรับงานเรามากทีเดียว แกคอยดูให้ดีนะ”
โอลิเวอร์มองหน้าคนนั้นทีคนนี้ที เขาไม่เข้าใจเลยว่าพรรคพวกของเขาหมายความว่าอย่างไร แต่เจ้าสองคนนั้นก็ได้เดินข้ามถนนไปเสียแล้ว มันเข้าไปชิดตัวชายชรา ที่กำลังอ่านหนังสืออยู่ แล้วโอลิเวอร์ก็ต้องแปลกใจอย่างใหญ่หลวงเมื่อเห็นเจ้าจอมวายร้ายเอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อของชายชราคนนั้น หยิบผ้าเช็ดหน้าแพรออกมาผืนหนึ่งส่งให้ชาร์ลี เบ็ทส์ แล้วทั้งสองก็วิ่งไปอย่างสุดฝีเท้า โอลิเวอร์ก็เข้าใจได้ทันทีว่า ‘งาน’ ที่เขาถูกหมายมั่นปั้นมือจะให้ทำคืองานชนิดไหนกันแน่ จึงรู้สึกตกใจกลัวมากจนต้องวิ่งออกไปด้วย เขาไม่รู้เหมือนกันว่าจะวิ่งไปไหน คิดอยู่อย่างเดียวว่าจะไปที่ไหนก็ได้ขอให้พ้นไปจากร้านขายหนังสือนั้นก็แล้วกัน ตอนนี้เองที่ชายชราเอามือล้วงกระเป๋า เมื่อไม่พบผ้าเช็ดหน้าและแลเห็นโอลิเวอร์วิ่งไปก็ปักใจเชื่อทันทีว่าโอลิเวอร์เป็นคนเอาไป
“ช่วยจับขโมยที” ชายชราร้องตะโกน พร้อมกับวิ่งไล่ตามโอลิเวอร์ไปทั้ง ๆ ที่ยังถือหนังสืออยู่ในมือ โอลิเวอร์วิ่งไปโดยมีคนกลุ่มหนึ่งวิ่งไล่หลัง ทุกคนต่างก็ร้องว่า ‘จับขโมยที’ ในที่สุดโอลิเวอร์ก็ถูกชายร่างใหญ่คนหนึ่งชกล้มลงไปนอนคลุกฝุ่นอยู่กับพื้นถนนจนกระทั่งเจ้าของผ้าเช็ดหน้าตามมาทัน
“ไอ้นี่แหละครับขโมย”
“ฉันคิดว่าคงไม่ผิดตัวหรอก แต่โธ่ นั่นเขาบาดเจ็บนี่”
“ฝีมือผมเองแหละครับ” ชายร่างใหญ่ทำร้ายโอลิเวอร์พูด เพราะคาดว่าคงจะได้รับรางวัลบ้าง แต่ชายชรากับมองดูเขาอย่างไม่ชอบใจ ตอนนี้เองที่ตำรวจนายหนึ่ง เขาก้มลงจับคอเสื้อของโอลิเวอร์ไว้และบอกให้ลุกขึ้น
“ไม่ใช่ผมหรอกครับ ไม่ใช่จริง ๆ นะครับ เด็กอีกสองคนต่างหากล่ะครับที่เป็นคนขโมย เขายังอยู่แถวนี้แหละครับ”
“อย่าเลย อย่าแก้ตัวดีกว่า ไม่มีเด็กอื่นที่ไหนหรอกนะ” ตำรวจพูด และก็เป็นจริงตามนั้นเสียด้วยเพราะชาร์ลี เบ็ทส์ และเจ้าจอมวายร้ายได้รีบวิ่งหนีไปพ้นอันตรายเสียแล้ว
“เอ้าลุกขึ้น เจ้าเด็กระยำ” ตำรวจพูดพลางดึงโอลิเวอร์ให้ลุกขึ้นยืน แล้วก็ฉุดกระชากลากตัวเขาไปยังสถานีตำรวจ มีชายชราและเด็กกลุ่มหนึ่งตามไปด้วย พอมาถึงสถานีตำรวจโอลิเวอร์ก็ถูกนำตัวไปเข้าห้องขังทันที ส่วนชายชราถูกนำไปยังห้องทำงานของนายแฟง (Mr.Fang) สารวัตรสอบสวนอารมณ์ร้าย ซึ่งยืนกรานไม่ยอมเชื่อคำให้การอันเป็นประโยชน์แก่โอลิเวอร์ของสุภาพบุรุษชราเลย
“ท่านผู้นี้คือใคร?” นายแฟงถามตำรวจคนนั้น
นายบราวน์โลว์ (Mr.Brownlow)
สุภาพบุรุษชราเอ่ยขึ้นว่า “ผมชื่อบราวน์โลว์ครับ ผมไม่เชื่อหรอกครับว่าเด็กที่คุณจับมาจะเป็นขโมย” แต่นายแฟงไม่ยอมฟัง เขาบอกให้ตำรวจเล่ารายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้ฟัง ตำรวจได้รายงานทั้งหมดเหตุการณ์ทั้งหมดที่เรารู้เห็น และยังรายงานด้วยว่าเขาได้ค้นตัวเด็กน้อยดูแล้วแต่ไม่พบอะไรในตัวเลย ต่อจากนั้นโอลิเวอร์ก็ถูกนำตัวออกมาจากห้องขังเพื่อสอบสวน
“แกชื่ออะไรเจ้าหนู?” นายแฟงถาม
โอลิเวอร์พยายามจะตอบแต่ไม่สำเร็จ เขากำลังรู้สึกไม่สบายและยืนทรงตัวแทบจะไม่อยู่ ตำรวจคนนั้นเห็นเหตุการณ์ตอนนี้จึงแสร้งบอกนายแฟงว่าเขาได้ยินโอลิเวอร์ให้การว่าชื่อทอม ไวท์ (Tom White) พ่อแม่ตายหมดแล้วและเป็นคนที่ไม่มีที่พักอาศัย
“แต่สารวัตรครับ ผมคิดว่าเด็กคนนี้กำลังไม่สบายแน่ ๆ เลยครับ” ตำรวจคนนั้นพูดกับนายแฟง
“เหลวไหลน่ะ มันทำมารยาไปยังงั้นเองแหละ” สารวัตรสอบสวนพูด และพอโอลิเวอร์ล้มลงหมดสติอยู่กับพื้น เขาก็สั่งว่า เอามันไปจำคุกและทำงานหนักเสียสามเดือน ไป เอามันไป!”
ขณะนี้เองชายสูงอายุคนหนึ่งก็วิ่งผลุนผลันเข้ามาในห้องและพูดขึ้นอย่างกระหืดกระหอบว่า
“หยุดก่อน หยุดก่อน อย่าเพิ่งเอาตัวเขาไป เด็กคนนี้บริสุทธิ์ครับ”
“เอ๊ะ ใครกันนะที่เข้ามายุ่งกับเรานี่นะ เชิญเขาออกไปซิ”
พยานจำเลย
“ผมต้องขอพูดก่อน ผมจะไม่ยอมกลับไปเป็นอันขาด ผมเห็นเหตุการณ์โดยตลอด คุณแฟงคุณต้องฟังผมพูดให้ได้ ผมเป็นเจ้าของร้านขายหนังสือนะครับ” สารวัตรสอบสวนเห็นว่าเขาจำเป็นจะต้องฟัง เขาจึงพูดอย่างไม่เต็มใจว่า “เอาล่ะ คุณมีอะไรจะพูดก็ว่ามา”
“เรื่องมันเป็นอย่างนี้ครับ” ชายผู้นั้นพูด “ผมเห็นเด็กสามคน คือเด็กที่ถูกจับมานี่คนหนึ่ง แล้วก็เด็กอื่นอีกสองคนยืนอยู่ริมถนนอีกฟากหนึ่ง ขณะที่สุภาพบุรุษผู้นี้กำลังอ่านหนังสืออยู่หน้าร้านของผม ผมเห็นเจ้าขโมยตอนที่มันล้วงเอาผ้าเช็ดหน้าของท่านผู้นี้ไป ไม่ใช่เด็กคนนี้หรอกครับ ผมยังเห็นด้วยซ้ำไปว่าเด็กคนนี้แสดงท่าตะลึงออกมาเมื่อเห็นเขาขโมยกัน”
“แล้วทำไมคุณไม่รีบมาที่นี่ให้เร็วกว่านี้ล่ะ?” นายแฟงถาม
“เพราะไม่มีใครจะดูแลร้านของผมเลยน่ะสิครับ คนที่พอจะช่วยผมได้ก็พากันวิ่งไล่ตามเด็กคนนี้เสียหมด”
“คุณว่าตอนนั้นเจ้าทุกข์กำลังอ่านหนังสืออยู่งั้นรึ?”
“ครับ” ชายผู้นั้นตอบ “หนังสือเล่มที่เขาถืออยู่ในมือนั่นแหล่ะครับ”
“อ๋อ หนังสือเล่มนี้น่ะหรือ?” นายแฟงพูด “เขาจ่ายค่าหนังสือหรือเปล่า?”
“เปล่า ยังไม่ได้จ่ายหรอกครับ” ชายผู้นั้นตอบพร้อมกับยิ้มให้กับสุภาพบุรุษชรา ซึ่งเอ่ยขึ้นว่า “ตายจริง! ผมตื่นเต้นเสียจนลืมเรื่องหนังสือเสียสนิทเลย”
“คุณก็เป็นคนดิบคนดี ไม่น่าจะกล่าวหาว่าเด็กเป็นขโมยเลยนี่นา” นายแฟงพูด พยายามวางท่าว่าเป็นคนใจดี ซึ่งเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความเป็นจริง เพราะเขาเห็นว่าได้โอกาสที่จะเลิกล้มคดีเรื่องนี้ และกลับบ้านเสียที เขาจึงกล่าวต่อไปอย่างเอาการเอางานว่า
“ผมมีความเห็นว่าคุณได้หนังสือเล่มนั้นมาเป็นกรรมสิทธิ์ด้วยวิธีที่แปลกมาก คุณคงคิดว่าคุณน่ะโชคดีที่เจ้าของหนังสือไม่ติดใจเอาความ ขอให้เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นที่จดจำสำหรับคุณด้วย” แล้วนายแฟงก็ร้องสั่งด้วยเสียงอันดังว่า “ปล่อยเด็กไป หมดเรื่องกันเสียที!”
นายบราวน์โลว์โกรธมากที่ถูกกล่าวหาอย่างไม่เป็นธรรม เขาบ่นเรื่องนี้ไปตลอดทางเมื่อตำรวจคนนั้นเดินมา เขาไปยังประตูทางออกไปสู่หน้าสถานีตำรวจ แล้วเพียงครู่เดียวความโกรธของเขาก็หายไปสิ้น เพราะที่หน้าสถานีตำรวจนั่นเอง เขามองเห็นเด็กน้อย โอลิเวอร์ ทวิสท์ นอนหงายอยู่บนพื้นดิน หน้าซีดขาวและเนื้อตัวก็สั่นเทาไปหมด
“โธ่ น่าสงสารเหลือเกิน พ่อหนูเอ้ย” นายบราวน์โลว์กล่าว พูดพลางก้มตัวลงดูโอลิเวอร์ “ช่วยเรียกรถให้ทีเถอะ ใครก็ได้ กรุณาเร็ว ๆ หน่อย”
เมื่อได้รถแล้วโอลิเวอร์ก็ถูกประคองไปวางลงที่นั่งข้างหนึ่ง ส่วนนายบราวน์โลว์ก็ขึ้นไปนั่งอีกข้างหนึ่ง ต่อจากนั้นรถก็แล่นตรงไปยังบ้านของเขาเอง พอถึงบ้าน เขาก็ออกคำสั่งให้จัดเตรียมที่นอนและขอร้องให้แม่บ้าน คือ นางเบ๊ดวิน (Mrs.Bedwin) ให้พาโอลิเวอร์ไปนอนลงบนเตียงและคอยดูแลอย่างใกล้ชิดด้วย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น