ตอนแรกโอลิเวอร์ก็วิ่งเพราะกลัวจะถูกจับ แต่เมื่อมาได้ไกลสักหนึ่งหรือสองไมล์แล้วเขาก็เปลี่ยนเป็นเดินไปอย่างเร่งรีบ จนกระทั่งเที่ยงวัน เมื่ออยู่ห่างจากเมืองและร้านต่อหีบศพไม่ต่ำกว่าห้าไมล์แล้ว เขาก็ทรุดตัวลงนั่งพักข้างหลักหินบอกระยะทาง เขาจะไปที่ไหนดี? ที่หลักหินมีข้อความเขียนไว้ว่า ‘ลอนดอน 70 ไมล์’ เขาจึงคิดจะไปลอนดอน
เขาเคยได้ฟังคนชราหลายคนในสถานสงเคราะห์คนอนาถาเล่าว่า ไม่มีเด็กคนใดที่เต็มใจจะทำงานแล้วต้องอดตายในลอนดอน มันช่างเป็นสถานที่ที่เหมาะเสียจริง ๆ สำหรับเด็กไร้ที่อยู่อาศัย ผู้กำลังต้องการความช่วยเหลือจากใครสักคนหนึ่ง เขาจึงลุกขึ้นยืนแล้วก็เดินต่อไป โอลิเวอร์เดินไปไกลเกือบยี่สิบไมล์ในวันนั้น ตลอดเวลาเขาไม่มีอะไรจะกินและดื่มเลย นอกจากขนมปังหนึ่งแผ่นและน้ำสองสามอึก ที่เขาขอมาได้จากกระท่อมริมทาง ถึงตอนกลางคืนเขาก็นอนอยู่กลางทุ่งนาอันโล่งแจ้ง ในตอนแรก ๆ เขารู้สึกหวาดกลัว หนาวและหิว แต่ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าอย่างสาหัส ทำให้เขานอนหลับไปในไม่ช้า ลืมความทุกข์ยากไปได้ชั่วขณะหนึ่ง
วันแล้ววันเล่า โอลิเวอร์ต้องเดินผ่านไปตามชนบทต่าง ๆ ต้องเที่ยวขออาหารเขากิน และต้องนอนตามที่ที่พอจะซุกหัวนอนได้ ตอนเช้าตรู่ของวันที่เจ็ดเขาก็มาถึงเมืองเล็ก ๆ เมืองหนึ่งห่างจากลอนดอนสิบไมล์ เท้าของเขาเจ็บระบบและเลือดไหลซิบ ๆ เนื้อตัวมอมแมมไปด้วยฝุ่นละออง เขาดีใจมากเมื่อพบบ้านหลังแรกในเมืองนี้ จึงทรุดตัวลงนั่งพักที่บันไดหน้าประตูทันที
โอลิเวอร์ พบ แจ็ค ดาว์กินส์ (Jack Dawkins)
โอลิเวอร์นั่งอยู่บันไดได้พักหนึ่ง ไม่มีใครเอาใจใส่ใจตัวเขาและสภาพอันน่าสมเพชของเขาเลย แต่แล้วเด็กชายคนหนึ่งก็มีหยุดยืนดูเขา เดินเลยไป แล้วก็กลับมามองดูเขาอีกรอบ เด็กคนนี้อายุรุ่นราวคราวเดียวกับเขา แต่ดูเป็นเด็กค่อนข้างแปลก ๆ เพราะเขาสวมเสื้อและกางเกงของผู้ใหญ่ที่ดูเก่าและสกปรกมาก ทั้งยังมีขนาดใหญ่กว่ารูปร่างของเขามากทีเดียว นอกจากนี้ยังเป็นเด็กอัปลักษณ์มากอีกด้วย ขาของเขาสั้น นัยน์ตาหรี่เล็ก สายตาคมกริบไม่น่าไว้วางใจ เขาเป็นเด็กที่เรียกกันว่า ‘เด็กข้างถนน’ เขาเดินตรงเข้ามาหาโอลิเวอร์แล้วก็พูดขึ้นว่า
“เฮ้ย! เป็นอะไรไปวะ?”
“ฉันหิวและเหนื่อยมาก”โอลิเวอร์ตอบ น้ำตาคลอหน่อย ๆ “ฉันเดินมาไกลมาก เดินมาตั้งเจ็ดวันแน่ะ”
เด็กแปลกหน้านั้นผิวปาก
“จะไปลอนดอนรึ?”
“ใช่แล้วล่ะ”
“มีที่พักที่นั่นแล้วหรือยัง?”
“ยัง”
“เงินล่ะ มีมั้ย”
“ไม่มีเลย”
“ถ้ายังงั้น ฟังนี่”เด็กคนนั้นพูด “ฉันกำลังจะไปลอนดอนเหมือนกัน ถ้าแกอยากจะไปกันฉัน ฉันจะพาแกไปด้วย แต่ฉันไม่อยากจะเข้าไปในลอนดอนจนกว่าจะมืด เราควรจะไปหาซื้ออะไรกินและดื่มกันก่อนดีกว่า ฉันจะเป็นเจ้ามือเอง ต่อจากนั้นเราจะเดินทางกันต่อไป และเมื่อถึงลอนดอนฉันจะพาแกไปหาสุภาพบุรุษใจดีคนหนึ่งที่ฉันรู้จัก คน ๆ นี้ยินดีให้เด็กอย่างแกอยู่ด้วยโดยไม่คิดค่าตอบแทนอะไรเลย เขาจะสอนให้แกหาเงินเลี้ยงตัวเองได้ เขาจะรับแกไว้แน่ ๆ ถ้าหากฉันรับรอง แกจะไปกันฉันไหมล่ะ?”
การเสนอที่พักพิงมาให้อย่างไม่คาดฝันเช่นนี้ เป็นที่น่าพอใจเกินกว่าจะปฏิเสธได้ ดังนั้นเมื่อซื้ออาหารกินเสร็จแล้ว เด็กทั้งสองก็ออกเดินทางไปลอนดอนด้วยกัน โอลิเวอร์รู้สึกว่าเส้นทางที่เดินไปนั้น ล้วนแต่เป็นถนนมืด ๆ ทั้งนั้น และขณะที่เขากำลังตัดสินใจว่าควรจะปลีกตัวไปจากสหายหน้าใหม่ดีหรือไม่ ก็พอดีมาหยุดยืนอยู่หน้าบ้านสกปรกซอมซ่อที่สุดหลังหนึ่ง
เขาพากันมาถึงบ้านฟากิ้น (Fagin)
“ถึงแล้ว”เด็กที่บอกโอลิเวอร์ว่าชื่อ แจ๊ค ดาว์กินส์ แต่เพื่อน ๆ มักเรียกเขาว่า ‘จอมวายร้าย’ เอ่ยขึ้น เขาผิวปากที่ประตูแล้วผลักประตูให้เปิดออกไปพร้อมกับพูดว่า “เข้ามาสิ”โอลิเวอร์เดินเข้าไปแล้วเจ้าจอมวายร้ายก็รีบปิดประตูทันที มีเสียงของชายคนหนึ่งร้องถามอะไรออกมาคำหนึ่งจากที่ใดที่หนึ่งในความมืดซึ่งโอลิเวอร์ไม่สามารถเข้าใจได้ แต่เจ้าจอมวายร้ายก็ขานตอบไปได้อย่างถูกต้อง แล้วเด็กทั้งสองก็เดินขึ้นไปชั้นบน ผ่านประตูเข้าไปยังห้องใหญ่ห้องหนึ่ง ห้องนี้สกปรกมาก มีเทียนจุดปักอยู่บนปากขวดใบหนึ่งเพียงเล่มเดียว โอลิเวอร์จึงมองไม่ค่อยจะเห็นอะไรเลยในตอนแรก ต่อมาอีกสักครู่เขาจึงมองเห็นว่ามีคนหลายคนอยู่ในห้องนั้นด้วย เป็นเด็กผู้ชายสี่หรือห้าคนและชายชราคนหนึ่ง เด็กเหล่านี้รูปร่างหน้าตาอัปลักษณ์ และแต่งกายรุ่มร่ามพอ ๆ กับเจ้าจอมวายร้าย พวกนั้นกำลังนั่งอยู่รอบ ๆ โต๊ะตัวหนึ่ง บนโต๊ะมีกาใส่เครื่องดื่มและขนมปังสองสามจานวางอยู่ ส่วนชายชรายืนอยู่ข้างเตาไฟ ชายชราคนนี้หน้าตาไม่บอกว่าเป็นคนดีเลย เช่นเดียวกับส่วนประกอบอื่น ๆ ของตัวเขา เขาหันหน้ามาทางโอลิเวอร์และสหายของเขาแล้วก็ยิ้ม แต่ทว่ายิ้มนั้นไม่แฝงความเมตตาปราณีไว้เลย เป็นยิ้มที่ชวนให้หวาดกลัวและขยะแขยงมากกว่า เจ้าจอมวายร้ายเข้าไปใกล้ชายชราและกระซิบอะไรให้ฟัง แล้วก็พูดดัง ๆ ว่า “คนนั้นแหล่ะคุณฟากิ้น (Mr.Fagin) เขาคือโอลิเวอร์เพื่อนของผม”
ฟากิ้นยิ้มอย่างน่ากลัวอีกครั้งหนึ่ง เด็กทั้งหมดก็เข้ามามุงรอบ ๆ ตัวโอลิเวอร์ ทักทายเขา ฉวยหมวกและห่อของไป แล้วก็คลำค้นกระเป๋าเสื้อของเขาด้วย ต่อจากนั้นชายชราก็พูดขึ้นว่า “อาหารเสร็จแล้ว”แล้วคนทั้งหมดก็นั่งลงรับประทาน โอลิเวอร์ได้กินอาหารเล็กน้อย แล้วชายชราก็ผสมเครื่องดื่มร้อน ๆ ให้เขาและบอกให้ดื่มเดียเดี๋ยวนั้น โอลิเวอร์ดื่มเข้าไปได้สักครู่ก็รู้สึกตัวว่าถูกเขาหามไปวางลงบนที่นอนอันแข็งกระด้างแล้วก็หลับสนิท เป็นอันว่าสุดสิ้นแล้วสำหรับคืนแรกของโอลิเวอร์ในบ้านของฟากิ้น หัวขโมยผู้เป็นครูของหัวขโมยทั้งหลาย นี่แหล่ะคือฟากิ้น ‘สุภาพบุรุษผู้อารี’ ของเจ้าจอมวายร้ายล่ะ
ไม่แปลต่อแล้วหรอคะ? เสียดายจังงงงง :))))
ตอบลบไม่แปลต่อแล้วหรอคะ? เสียดายจังงงงง :))))
ตอบลบ