ในบ้านของนายบราวน์โลว์ ด้วยการดูแลของแม่บ้านผู้มีเมตตา ในไม่ช้าโอลิเวอร์ ทวิสท์ก็หายดีพอที่จะลูกไปไหนมาไหนได้ เขาสำนึกในบุญคุณและแสดงความกตัญญูของเขาออกมาด้วยการทำตัวเรียบร้อยและช่วยเหลืองานบ้านต่าง ๆ ทั้งนางเบ๊ดวินและนายบราวน์โลว์ ผู้เป็นนายของหล่อนต่างก็รักใคร่เอ็นดูเขา
บ่ายวันหนึ่งนางเบ๊ดวินบอกโอลิเวอร์ว่านายบราวน์โลว์ต้องการจะพูดกับเขา เด็กน้อยดีใจมากที่ผู้มีเมตตาของเขาต้องการพบ หลังจากอาบน้ำเรียบร้อยแล้วเขาก็ไปที่ห้องทำงานของนายบราวน์โลว์ ห้องนี้เป็นห้องเล็ก ๆ ดูท่าทางสบาย มีชั้นหนังสือหลายชั้นเรียงรายไปด้วยหนังสือเต็มไปหมด นายบราวน์โลว์กำลังอ่านหนังสืออยู่ เขาเงยหน้าแล้วยิ้มให้โอลิเวอร์และพูดว่า “ฉันให้ไปตามเธอมา เพราะฉันต้องการพูดเรื่องที่สำคัญมากกับเธอ ขอให้เธอตั้งใจฟังที่ฉันพูดให้ดี ๆ”
“โอ้ ได้โปรดอย่าบอกว่าท่านจะให้ผมไปจากที่นี่เลยนะครับ” โอลิเวอร์พูด “อย่าให้ผมต้องออกไปเร่ร่อนอยู่ตามถนนอีกเลยนะครับ ขอให้ผมได้อยู่รับใช้ท่านต่อไปเถอะครับ”
“พ่อหนุ่มเอ้ย” ชายชราพูด “ฉันไม่ทำอะไรกับเธอแบบนั้นหรอก ถ้าหากว่าเธอจะไม่ต้องการแบบนั้นเสียเอง”
“ไม่หรอกครับ ผมจะไม่ทำแบบนั้นเป็นอันขาด” โอลิเวอร์พูดฉะฉาน
“ฉันก็หวังว่าเธอจะไม่ทำแบบนั้นเหมือนกัน ฉันไม่เชื่อจริง ๆ ว่าเธอจะเป็นเด็กแบบนั้น แต่ตอนนี้ฉันต้องการให้เธอเล่าเรื่องราวทั้งหมดเกี่ยวกับเธอให้ฉันฟังเท่าที่เธอจะทำได้ เช่นว่า เธอมาจากไหน ใครเป็นคนเลี้ยงดูเธอ เมื่อตอนที่เธอเล็ก ๆ และเธอไปเข้ากับพวกเด็กที่ฉันเห็นเธออยู่ด้วยในวันนั้นได้ยังไง ถ้าเธอเล่าเรื่องทั้งหมดตามจริง ฉันรับรองว่าเธอจะไม่ต้องเร่ร่อนตามถนนอีก ตราบเท่าที่ฉันยังมีชีวิตอยู่ โอลิเวอร์รู้สึกซาบซึ่งในถ้อยคำอันแสดงถึงความเมตตานี้มาก จนพูดอะไรไม่ออกไปชั่วครู่ เมื่อสงบจิตใจลงได้แล้ว เขาจึงเริ่มเล่าให้นายบราวน์โลว์ฟัง ถึงชีวิตของเขาในโรงเลี้ยงเด็กและเรื่องราวเกี่ยวกับนายบัมเบิ้ล พอเล่ามาถึงตอนนี้ก็ต้องหยุดเพราะมีคนมาเคาะประตู แล้วคนรับใช้ก็เข้ามาบอกว่านายกริมวิก (Mr.Grimwig) มาหา
นายกริมวิก
“คุณจะขึ้นมาข้างบนนี้ไหม?” นายบราวน์โลว์ถาม
“ขึ้นครับ” เขาถามผมว่ามีขนมมัฟฟินเหลือติดบ้านบ้างหรือเปล่า พอผมตอบไปว่ามี เขาก็พูดว่าจะมาดื่มน้ำชาด้วย
นายบราวน์โลว์ยิ้มแล้วหันไปบอกโอลิเวอร์ว่า นายกริมวิกเป็นเพื่อนเก่าของเขา และกำชับกับโอลิเวอร์ว่าต้องไม่ถือสา หากนายกริมวิกจะทำอะไรขวางหูขวางตาและพูดอะไรไม่เข้าหู เพราะอันที่จริงนายกริมวิกเป็นสุภาพบุรุษที่มีใจเมตตาเป็นอย่างยิ่ง
“ท่านต้องการให้ผมลงไปก่อนมั้ยครับ?” โอลิเวอร์ถาม
“ไม่ต้องหรอก”นายบราวน์โลว์ตอบ “ฉันอยากให้เธออยู่ด้วย” ตอนนี้เองนายกริมวิกก็โผล่เข้ามา เขาดูเป็นชายชราที่มีท่าทางไม่ปกติ เขาถือไม้เท้าอันใหญ่เพื่อช่วยในเวลาเดิน เมื่อเขาต้องการจะให้ใครฟังเขาพูด เขาก็จะใช้ไม้เท้านี้ด้วยเหมือนกัน พอเขาเห็นโอลิเวอร์เขาก็เอาไม้เท้าเคาะพื้นแล้วพูดเสียงดุ ๆ ว่า “เฮ้! นั่นใครน่ะ?”
“นี่แหละ พ่อหนุ่มโอลิเวอร์ ทวีสท์ที่ผมเคยเล่าให้คุณฟังไงล่ะ” นายบราวน์โลว์พูดแล้วโอลิเวอร์ ก็ก้มศีรษะคำนับ
“คุณคงไม่ได้หมายถึงเด็กที่ป่วยนั่นหรอกนะ อ้อ ผมรู้แล้ว ต้องใช่เด็กคนที่ทิ้งเปลือกส้มไว้ที่บันไดจนเกือบทำให้ผมหกล้มแน่ ๆ เลย ถ้าเขาไม่ใช่เด็กคนที่ว่านี้ ผมยอมให้ตัดหัวผมเลยแล้วก็หัวของเจ้าเด็กนี่ด้วย!”
นายกริมวิกชอบพูดว่าเขาจะยอมให้ตัดหัวอย่างนี้เสมอ เพื่อนของเขาชินกันหมดแล้ว จึงเพียงแค่หัวเราะแล้วพูดว่า “ไม่ใช่หรอก เด็กที่คุณพูดถึงน่ะไม่ใช่โอลิเวอร์หรอก เชิญทางนี้ดีกว่า วางหมวกเสียก่อนแล้วก็คุยกับเพื่อนตัวน้อยของผมบ้างสิ”
“สบายดีมั้ย เจ้าหนู?” นายกริมวิกพูด
“ผมสบายขึ้นมากแล้วครับ ขอบคุณมากครับ” โอลิเวอร์ตอบ
นายบราวน์โลว์เกรงว่าเพื่อนของเขาจะพูดอะไรขวางหูออกไป จึงใช้ให้โอลิเวอร์ไปบอกนางเบ๊ดวินว่า เขาพร้อมจะดื่มน้ำชาแล้ว
“เป็นเด็กที่น่ารักทีเดียวเลยล่ะ” นายบราวน์โลว์พูด
“ไม่รู้สิ ผมไม่เห็นว่าเขาจะต่างกับเด็กคนอื่นยังไง เอ้อบราวน์โลว์ คุณรู้อะไรเกี่ยวกับเด็กคนนี้บ้าง? เขามาจากไหน? เขาเป็นใคร? คุณก็รู้แต่เพียงว่าเขาไม่สบายเท่านั้นเอง มีเด็กอีกตั้งมากมายที่ไม่สบาย”
นายกริมวิกรู้จักเพื่อนของเขาดีจึงไม่ได้โกรธอะไร เขารู้ว่าอันที่จริงนายกริมวิกก็คิดแบบเดียวกับเขาด้วยในเรื่องโอลิเวอร์ แต่เขาชอบแสร้งทำเป็นคนใจร้ายเสมอ ดังนั้นเมื่อโอลิเวอร์กลับมาในห้องพร้อมกับขนมมัฟฟินร้อน ๆ นายกริมวิกก็ดื่มน้ำชาอย่างเอร็ดอร่อย เมื่อเขารับประทานเสร็จแล้วก็ได้ถามนายบราวน์โลว์ว่า
“แล้วเมื่อไหร่คุณถึงจะได้ฟังเรื่องราวชีวิตและการผจญภัยของโอลิเวอร์ ทวีสท์อย่างละเอียดเสียทีล่ะ?”
“พรุ่งนี้เช้า” นายบราวน์โลว์ตอบ “ผมอยากให้เขาอยู่ตามลำพังกับผมในตอนเล่า” แล้วเขาก็บอกกับโอลิเวอร์ว่า “กลับไปเถอะพ่อหนุ่ม พรุ่งนี้ตอนสิบนาฬิกาจึงค่อยมาหาฉันใหม่”
“ครับ” โอลิเวอร์ตอบด้วยความลังเลใจเล็กน้อย เพราะนายกริมวิกกำลังจ้องเขาเขม็งอยู่ ทำให้ความคิดของเขาสับสนไปหมด”
“ผมจะบอกอะไรคุณให้” นายกริมวิกกระซิบ “เขาจะไม่มาหาคุณหรอกพรุ่งนี้เช้า ผมเห็นเขาทำท่าทางลังเลอยู่ เขาหลอกคุณแล้วล่ะเพื่อนรัก”
“ผมกล้าสาบานก็ได้ว่าเขาไม่ได้หลอกลวง ผมกล้าเอาชีวิตเป็นประกันได้เลย สำหรับความซื่อสัตย์ของเด็กคนนี้” นายบราวน์โลว์พูด
“ผมก็กล้าเอาหัวเป็นเดิมพันได้เหมือนกัน สำหรับความเท็จของเขา” นายกริมวิกพูด แล้วเอาไม้เท้ากระทุ้งพื้นห้อง
“แล้วเราจะได้เห็นกัน” นายบราวน์โลว์พูด พยายามสะกดกลั้นความโกรธไว้
“ใช่ แล้วเราจะได้เห็นกัน” นายกริมวิกตอบ “เราจะได้เห็นกันแน่ ๆ”
ต่อมาอีกสักครู่นางเบ๊ดวินก็เข้ามาในห้องพร้อมกับห่อหนังสือ ซึ่งเด็กคนหนึ่งนำมาให้จากร้านขายหนังสือ นางวางมันไว้บนโต๊ะ
“ขอบใจ” นายบราวน์โลว์พูด “ฉันมีอะไรบางอย่างจะต้องส่งคืนไปที่ร้านขายหนังสือ”
“เด็กคนนั้นกลับไปแล้วค่ะ”
“แย่จริง” ฉันจำเป็นต้องส่งหนังสือไปคืนซักสองสามเล่มในคืนนี้เสียด้วย”
“ให้โอลิเวอร์ ทวีสท์เอาไปส่งให้สิ” นายกริมวิกพูด “เขาจะต้องเอาไปส่งได้อย่างไม่มีปัญหาแน่ ๆ เขาเป็นคนซื่อ คุณก็รู้นี่นะ” นายบราวน์โลว์กำลังจะพูดออกมาแล้วว่าไม่ควรจะใช้โอลิเวอร์ไปไหนไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม แต่เมื่อเห็นยิ้มของนายกริมวิกเข้า เขาก็เปลี่ยนใจเป็นพูดว่า “ตกลง ผมจะให้โอลิเวอร์ไป” ดังนั้นโอลิเวอร์จึงได้รับคำสั่งว่าเขาจะต้องไปยังที่ใด
“เธอต้องบอกกับคนขายหนังสือนะ” นางเบ๊ดวินพูด “ว่าเธอนำหนังสือเหล่านี้มาคืน และเธอจะต้องชำระเงินให้เขาสี่ปอนด์สิบชิลลิงที่ฉันเป็นหนี้เขาอยู่ เอ้า นี่ธนบัตรใบละห้าปอนด์ เธอต้องเอามาทอนให้ฉันสิบชิลลิงนะ” (หนึ่งปอนด์ = ยี่สิบชิลลิง)
“ครับ” โอลิเวอร์พูดอย่างกระตือรือร้นสุด ๆ รู้สึกดีใจมากที่จะได้ทำตัวให้เป็นประโยชน์ “ผมจะวิ่งไปตลอดทางเลยครับ และผมจะกลับมาภายในสิบนาที” เขาเก็บธนบัตรไว้ในกระเป๋าเสื้ออย่างระมัดระวังและหนีบหนังสือไว้ใต้รักแร้ แล้วก็ออกวิ่งไปอย่างร่าเริง โดยมีนางเบ๊ดวินมองตามจากประตูบ้านจนลับสายตา
โอลิเวอร์ไม่กลับมา
“ขอเวลาคิดนิดหน่อย เอาละ ผมว่าอย่างช้าที่สุดอีกยี่สิบนาที เขาก็จะกลับมา” นายบราวน์โลว์พูด พลางหยิบนาฬิกาออกมาจากกระเป๋าแล้วก็วางลงบนโต๊ะ “ถึงตอนนั้นก็จะค่ำแล้ว”
“อ้อ นี่คุณยังคิดว่าเขาจะกลับมาอีกจริง ๆ หรือ?” นายกริมวิกถาม
“คุณว่าเขาจะไม่กลับมายังงั้นหรือ?” นายบราวน์โลว์ถามกลับแกมยิ้ม
“ผมว่าเขาไม่กลับมาแน่นอน” นายกริมวิกตอบ พลางเอามือตบโต๊ะ “ผมไม่คิดว่าเขาจะกลับมา มีหนังสือราคาแพงหนีบอยู่ใต้รักแร้ แล้วก็มีธนบัตรใบละห้าปอนด์อยู่ในกระเป๋า ผมว่าเขาจะต้องกลับไปหาเจ้าพวกเพื่อนขโมยของเขา แล้วก็หัวเราะเยาะคุณเล่น แต่ถ้าเด็กคนนั้นกลับมาที่บ้านนี้ผมจะยอมให้ตัดหัวเลย”
พูดแล้วก็ลากเก้าอี้ของเขาเข้าไปใกล้ ๆ โต๊ะ แล้วทั้งสองก็คอยดูเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นอย่างเงียบ ๆ โดยมีนาฬิกาวางอยู่ระหว่างกลาง ท้องฟ้ามืดลงจนมองตัวเลขบนหน้าปัดนาฬิกาไม่ค่อยจะเห็น แต่ชายชราทั้งสองก็ยังคงนั่งอยู่เงียบ ๆ ที่เดิม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น